หากพูดถึงการตัดโลหะในยุคนี้ “การตัดเลเซอร์” ถือเป็นหนึ่งในวิธียอดนิยมในภาคอุตสาหกรรม ด้วยความแม่นยำ รวดเร็ว รอยตัดเรียบ และให้ชิ้นงานที่สวยคม แต่รู้หรือไม่ว่าการตัดด้วยเลเซอร์ที่เห็นกันนั้นมีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบมีลักษณะการทำงานและให้ผลลัพธ์ต่างกัน ในบทความนี้เราจะมาอธิบายข้อแตกต่างระหว่าง การตัดเลเซอร์แบบมีแก๊ส (Gas Cutting) กับการเลเซอร์แบบธรรมดา พร้อมทั้งเปรียบเทียบจุดเด่นหรือข้อจำกัด และแนวทางในการเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับประเภทงานของคุณ
การเลเซอร์คืออะไร
การเลเซอร์ คือ กระบวนการตัดวัสดุโดยใช้ลำแสงเลเซอร์ที่มีความเข้มข้นสูง ยิงลงไปบนพื้นผิววัสดุเพื่อให้เกิดความร้อนจนทำให้วัสดุขาดออกจากกันได้แบบแม่นยำ

1. เลเซอร์แบบธรรมดา
การเลเซอร์แบบธรรมดา คือ กระบวนการตัดวัสดุด้วยลำแสงเลเซอร์ลงบนวัสดุเพื่อให้ขาด โดยไม่มีแก๊สในการช่วยตัดของกระบวนการ เช่น ไนโตรเจนหรือออกซิเจน ทำให้คุณภาพของการตัดวัสดุน้อยกว่าการใช้แก๊สช่วยในการตัดเลเซอร์
กระบวนการเลเซอร์แบบธรรมดา
- สร้างลำแสงเลเซอร์ เครื่องจะปล่อยลำแสงเลเซอร์พลังงานสูงออกมา ช่น CO₂ Laser หรือ Fiber Laser
- รวมแสงไปยังจุดเดียว เลเซอร์จะถูกส่งผ่านเลนส์เพื่อโฟกัสให้เป็นจุดเล็ก จุดนี้จะมีพลังงานความร้อนสูงมาก
- ยิงแสงเลเซอร์ลงบนวัสดุ เมื่อเลเซอร์สัมผัสวัสดุ ความร้อนจะสะสมจนวัสดุเกิดการหลอมละลาย หรือไหม้ และแยกออกจากกัน
- หัวเลเซอร์เคลื่อนที่ตามเส้นทางที่กำหนด ควบคุมผ่านซอฟต์แวร์ CAD หรือระบบ CND เพื่อให้ได้รูปทรงตามต้องการ
- เกิดรอยตัดบนวัสดุ เมื่อวัสดุโดนเลเซอร์จนขาด จะเกิดรอยตัด ขึ้นอยู่กับชนิดวัสดุ ความหนา และพลังงานของแสง จุดเด่นการเลเซอร์แบบธรรมดา
- ใช้ต้นทุนต่ำกว่า การเลเซอร์แบบธรรมดาไม่ต้องใช้แก๊สพิเศษ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
- ระบบเครื่องไม่ซับซ้อน ดูแลรักษาง่าย เหมาะกับผู้เริ่มต้นใช้งาน
- เหมาะกับวัสดุที่ไม่ใช่โลหะ เช่น ไม้ พลาสติก อะคริลิค
- เหมาะกับงานดีไซน์ลวดลายละเอียด ใช้ทำของตกแต่ง งานฝีมือ หรือต้นแบบ

2. เลเซอร์แบบมีแก๊ส
การเลเซอร์แบบมีแก๊ส (Gas Cutting) คือ กระบวนการตัดวัสดุด้วยลำแสงเลเซอร์ร่วมกับการพ่นแก๊สไปยังจุดที่เลเซอร์ยิง เพื่อช่วยให้การตัดวัสดุ สะอาด เรียบ และมีความแม่นยำมากขึ้น แก๊สจะช่วยเป่าชิ้นส่วนที่หลอมละลายออกไป เพื่อลดคราบไหม้หรือตะกรัน
กระบวนการเลเซอร์แบบมีแก๊ส
- สร้างลำแสงเลเซอร์ เครื่องจะปล่อยลำแสงเลเซอร์พลังงานสูงออกมา เช่น CO₂ Laser หรือ Fiber Laser
- รวมแสงไปยังจุดเดียว เลเซอร์จะถูกส่งผ่านเลนส์เพื่อโฟกัสให้เป็นจุดเล็กที่มีพลังงานความร้อนสูงมาก
- ยิงแสงเลเซอร์ลงบนวัสดุ เมื่อเลเซอร์สัมผัสวัสดุ ความร้อนจะสะสมจนวัสดุเกิดการหลอมละลาย หรือไหม้ และแยกออกจากกัน
- พ่นแก๊สไปยังจุดที่เลเซอร์ยิง ในขณะที่เลเซอร์กำลังทำงาน จะมีการพ่นแก๊สแรงดันสูงลงไปที่จุดตัดพร้อมกัน เช่น
- ออกซิเจน จะช่วยเผาไหม้และตัดเหล็กได้เร็ว
- ไนโตรเจน จะช่วยเป่าคราบไหม้ ไม่เกิดออกไซด์ เหมาะกับสแตนเลส
- อากาศ ประหยัดต้นทุน ใช้กับงานทั่วไป
- แก๊สช่วยเป่าชิ้นส่วนที่หลอมออกจากรอยตัด แรงดันจากแก๊สจะพัดเศษวัสดุหรือโลหะหลอมออกไปจากเลเซอร์ ทำให้รอยตัดสะอาด เรียบ และไม่ต้องขัดแต่งเพิ่มมากนัก
- หัวเลเซอร์เคลื่อนที่ตามแบบที่กำหนด ควบคุมผ่านซอฟแวต์ CAD / CAM หรือระบบ CNC เพื่อตัดตามรูปทรงหรือลวดลายที่ต้องการ
- เกิดรอยตัดคุณภาพบนวัสดุ จะได้รอยที่มีคุณภาพ เพราะการเลเซอร์แบบมีแก๊สรอยตัดจะมีความเรียบ คม ไม่มีคราบไหม้ เหมาะกับงานอุตสาหกรรมหรืองานที่ต้องการความละเอียดสูง จุดเด่นการเลเซอร์แบบมีแก๊ส
- ขอบตัดเรียบและสะอาด แก๊สจะช่วยเป่าคราบไหม้และเศษวัสดุออก ทำให้ไม่ต้องขัดแต่งซ้ำ
- เพิ่มความแม่นยำในการตัด รอยตัดสวย คม ละเอียด เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง
- ตัดวัสดุหนาได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้กับแก๊สออกซิเจนกับเหล็กหรือโลหะหนา
- ลดความร้อนสะสม แก๊สช่วยในการระบายความร้อน ทำให้วัสดุบิดงอน้อยลง
- เหมาะกับงานอุตสาหกรรมระดับมืออาชีพ เช่น ตัดชิ้นงานโลหะ ตัดแผ่นเหล็ก หรือตัดแผ่นสแตนเลส ที่ต้องการคุณภาพสูง

3 ความแตกต่างเลเซอร์แบบมีแก๊ส VS แบบธรรมดา
1. คุณภาพของรอยตัด
แบบธรรมดา : การใช้วัสดุที่บางจะได้ผลดี แต่หากวัสดุที่หนาหรือแข็ง ความเร็วในการตัดจะลดลง และใช้พลังงานสูงกว่าการใช้แก๊สช่วยตัด ทำให้ใช้เวลานานขึ้น และรอยตัดไม่เรียบเนียน
แบบมีแก๊ส : ไนโตรเจนหรือออกซิเจน จะพ่นออกมาพร้อมเลเซอร์ ช่วยเป่าเศษวัสดุออกจากรอยตัด ทำให้ขอบตัดเรียบ สะอาด ไม่เกิดคราบไหม้
2. ความเหมาะสมของวัสดุที่ใช้ตัด
แบบธรรมดา : เหมาะกับวัสดุที่บางและไม่ใช่โลหะ เช่น ไม้อัด อะคริลิค ผ้า เพราะไม่ต้องใช้พลังงานสูงมาก และไม่ต้องการคุณภาพขอบตัดที่สมบูรณ์
แบบมีแก๊ส : เหมาะกับการตัดโลหะโดยเฉพาะ เช่น สแตนเลส เหล็ก อะลูมิเนียม หรือวัสดุที่หนากว่า 3 มม. ขึ้นไป แก๊สจะช่วยให้ตัดได้รวดเร็ว และขอบไม่เกิดออกซิเดชัน
3. ต้นทุนและความคุ้มค่าในการใช้งาน
แบบธรรมดา : ใช้การลงทุนน้อยกว่า ไม่ต้องใช้ระบบแก๊ส เหมาะกับผู้เริ่มต้น ธุรกิจขนาดเล็ก หรือผู้ใช้งานทั่วไป เช่น ทำของตกแต่ง หรืองาน DIY
แบบมีแก๊ส : ต้องลงทุนเพิ่มในระบบแก๊ส และดูแลรักษามากกว่าการตัดแบบธรรมดา แต่ให้คุณภาพสูง เหมาะกับโรงงานหรืออุตสาหกรรมที่ต้องการความละเอียดสูง ใช้งานได้ทันทีหลังตัด
ในกระบวนการตัดโลหะด้วยเลเซอร์ มีให้เลือกใช้ทั้งแบบธรรมดาและแบบมีแก๊ส (Gas Cutting) โดยการตัดเลเซอร์แบบธรรมดา จะใช้ต้นทุนต่ำกว่า แต่ความละเอียดและขอบตัดอาจไม่เรียบเท่าการตัดแบบมีแก๊ส เหมาะกับงานทั่วไปหรือชิ้นงานที่ต้องนำไปแปรรูปต่อ ส่วนการตัดเลเซอร์แบบมีแก๊ส จะใช้แก๊สร่วมกับเลเซอร์ ช่วยให้ตัดได้เรียบ แม่นยำ เหมาะกับงานที่ต้องการความละเอียดสูง
หากใครกำลังมองหาผู้ให้บริการเลเซอร์แบบครบวงจร Prosupply คือคำตอบ เราพร้อมส่งมอบชิ้นงาน และการบริการที่มีคุณภาพให้แก่คุณ
🖥️ Line OA: @prosupply
☎️ Tel: 099-3232989, 086-3328847, 063-3636595
✉️ Email: [email protected]
📘 Facebook: Laser Cut Pro Supply